เปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่น Matterport Axis, Pro2, Pro3 และพี่ใหญ่อย่าง Leica BLK 360

เปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่น Matterport Axis, Pro2, Pro3 และพี่ใหญ่อย่าง Leica BLK 360

เปิดตัวกันมาได้สักพักแล้วนะครับสำหรับ Matterport Pro3 ที่ใครๆ หลายคนถามถึง และเฝ้ารอให้มีการนำเข้ามาที่เมืองไทย แต่ก็ต้องทำใครหลายคนรอกันนานพอสมควรเลย แต่สำหรับ Dfine Digital Reality ซึ่งถือว่าได้เครื่องมาอยู่ในมือลำดับต้นๆ ของประเทศ ก็ไม่อยากให้แฟนๆ รอกันนานจนเกินไป โดยในคลิปที่แล้วนั้นก็ได้ทำการแกะกล่องกันไปให้ดูแล้วมาอุปกรณ์มาตราฐานที่ติดมาด้วยกัย Matterport Pro 3 นั้นมีอะไรให้มาบ้าง พอมาถึงวันนี้ Dfine ก็จะมาพูดถึงการใช้งานว่าแต่ละตัว แต่ละประเภทนั้นทำงานอย่างไร Axis ใช้งานง่ายอย่างที่คิดจริงหรือไม่ และถ้า Pro3 ออกสู่ท้องตลาดแล้ว Pro2 และ Leica BLK 360 จะตกรุ่นไปเลยรึป่าววันนี้ Dfine จะสรุปให้ฟังครับ

Matterport AXIS

 

ขอเริ่มที่น้องเล็กสุดท้องก่อนนะครับ เพราะเจ้าตัวนี้เนี่ยพอออกมาก็สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่มีขนาดเล็ก พกพาง่าย และที่สำคัญก็คือราคาที่ถือว่าถูกมากๆ ซึ่งถูกกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ และยังสามาถที่จะเจาะตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจได้โดยง่าย เพราะทุกวันนี้การเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ นั้น เหล่าบรรดา Traval Walker หลายคนนิยมบันทึกสถานที่ต่างๆ มากกว่าการที่จะบันทึกรูปถ่ายลงบน Socail Media นั่นเองครับ

หากมองถึงการทำงานของเจ้า Matterport Axis นั้นถือว่าง่ายเหมือนถ่ายภาพโดยทั่วไปเลยครับ เพราะเพียงแค่คุณนั้นนำโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของคุณ ติดตั้งเข้ากับ Matterport Axis จากนั้นเปิดเครื่อง และเชื่อมต่อบลูธูสกับอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ก็พร้อมที่จะใช้งานแล้วครับ และที่มากไปกว่านั้น Matterport Axis ยังมาพร้อมกันกับรีโมทขนาดเล็กที่สามารถสั่งงานได้ในระยะไกล (แต่ก็ไม่ไกลมาก อิอิอิ) ทำให้มีความสะดวก และลดปัญหาที่ใครหลายคนกังวลว่าจะสแกนติดตัวเองครับ

ซึ่งเจ้า Matterport Axis ตัวนี้นั้นสามารถทำงานได้ดีในพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มาก เช่น คอนโด อพาทเม้น บ้านหลักเล็กๆ เป็นต้น อย่างไรก็แล้วแต่ครับ Matterport Axis ก็ยังคงเป็นเพียงรุ่นเริ่มต้นที่สามารถสแกน และทำงานได้ประมาณนึงเท่านั้น ซึ่งในการสแกนนั้นก็ยังเห็นถึงรอยต่อและ ความเลื่อมล้ำของสีที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่บ้าง หากใครที่สนใจใช้งานอาจจะต้องมีการกำหนดเรื่องของสถานที่และตำแหน่งในการถ่ายทำไว้บ้างก็ดีครับ

Matterport Pro2

เรียกได้ว่าครองใจผู้ใช้งานมาอย่างยาวนานครับสำหรับ Matterport Pro2 ที่เรียกได้ว่าออกมาเพื่อตอบโจทย์สังคมในยุคที่ต้องเหลี่ยกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มีการระบาดของไวรัส โควิด – 19 สถานที่หลายๆ แห่งเช่น สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ซื้อสินค้า หรือแม้กระทั่งโรงเรียน โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ต้องหยุดการเดินทางไปยังสถานที่นั้นๆ ซึ่งการสร้าง Virtual World ของ Matterport Pro2 นั้นสามารถทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสถานที่นั้นได้

และประโยชน์ที่มากกว่านั้นก็คือ เป็นการมอบโอกาสที่สำคัญให้กับใครอีกหลายๆ คนได้พบการประสบการณ์ใหม่ๆ ในสถานที่มใหม่ๆ อย่างเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และไม่มีโอกาสเดินทางเข้าไปในที่นั้นๆ Virtual world ก็จะทำให้น้องๆ เหล่านั้นได้เห็นและได้เรียนรู้มากขึ้นไปอีกด้วย และในบางมุมยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศษรฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อได้ในยุคนี้ เพราะการเติบโตของการค้าขายรูปแบบอนไลน์นั้น มีอัตราที่สูงมากๆ แต่มันก็เหมือนการเสี่ยงดวงในบางครั้ง เพราะเราไม่มีทางทราบเลยว่าสีหรือแบบที่แสดงในหน้าเว็บหรือแอพพลิเคชั่นนั้นตรงตามที่เห็นหรือไม่ แต่หากเรามี Virtual World ที่สามารถบอกได้ถึงความสมจริงทั้งสถานที่และข้อเปรียบเทียบของสินค้า มันก็จะเป็นการการันตีได้ทันทีว่าของที่เราจะได้เป็นสิ่งที่ตรงปก

5555555555555555555555555

ซึ่ง Matterport Pro2 นั้นสามารถทำงานได้เป็นอย่างดีในสถานที่ต่างๆ ที่มีขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ เช่น หมู่บ้านจัดสรรค์ หรือว่าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาด 10,000 ตรม. Matterport Pro2 ก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น เครื่องมือวัดต่างๆ การเบลอส่วนที่ไม่ต้องการ การเพิ่มรูปภาพหรือลิ้งค์จาก Youtube ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า Matterport Pro2 นั้นอาจจะสู้แดดจัดมากๆ ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะหาทางออกไม่ได้ 555+ โดยเราสามารถเลือกช่วงเวลาในการสแกนภายนอกได้เช่น ช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ก็จะสามารถสแกนนอกสถานที่ได้เช่นกัน

Matterport Pro3

Matterport Pro3

และมาถึงตัวที่หลายๆ คนรอคอยนั่นก็คือ Matterport Pro3 นั่นเอง ซึ่งเปิดตอนเป็นที่เรียบร้อยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และหลายคนก็อยากเห็นกันว่า Matterport จะทำออกมาได้ดีแค่ไหน ปัญหาที่เจอกันบ่อยๆ จะถูกแก้ไขอย่างไร และที่สำคัญคือหน้าตาการออกแบบที่แปลกตา และมีระบบ Laidar Scan ที่เทียบชั้น Leica BLK 360 นั้นจะเจ๋งมากแค่ไหน เรามาเริ่มกันเลยครับ

สำหรับ Matterport Pro3 ที่วางตลาดกันไปแล้วนั้นมาพร้อมกับหน้าตามที่ดูทันสมัย และมีความแปลกตาเป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้งานนั้นทีมงานมองว่า สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วกว่า Matterport Pro2 ถึง 30 % และนอกจากนั้นยังมาช่วยกู้หน้าตาของ Matterport Pro2 ในเรื่องของการทำงานกลางแจ้งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะว่าเจ้า Matterport Pro3 นั่นสามารถทำงานกลางแจ้ง และแดดจัดได้เป็นอย่างดี มากไปกว่านั้นก็คือการเชื่อมต่อหรือที่เรียกว่า Aligment นั้นสามารถทำได้ดีและเพิ่มระยะการทำงานที่มากขึ้น ทำให้ประหยัดเวลาในกาทำงาน และยังเสริมมาด้วยการควบคุมระยะไกลจากแท็บเล็ตได้ไกลขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้กาทำงานระบบ Laidar Scan ที่สามารถสร้าง Point Cloud ได้อย่างละเอียดยิบ ซึ่งเป็นผลดีสำหรับการทำงานโครงสร้างต่างๆ ให้ดีขึ้น และระยะสแกนที่ทาง Matterport Pro3 เคลมว่าสามารถทำงานและเห็นได้มากกว่า 100 เมตร ก็ทำให้งานนั่นประหยัดเวลามากขึ้นและมีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น

Leica BLK 360 

มาถึงพี่ใหญ่สุดในวงอย่าง Leica BLK 360 ที่มากกว่าคำว่า space capture ที่เป็นได้แทบทุกอย่าง และทุกวงการ 3 มิติ เพราะด้วยประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม การทำงานที่รวดเร็ว ความแม่นยำของข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนต่ำ และยิ่งอยู่บนแบรนด์ระดับโลกอย่าง Leica และด้วย ยิ่งเป็นการการันตี ได้เป็นอย่างดีถึงคุณภาพชั้นสูง

ซึ่ง Leica BLK 360 นั้นสามารถสแกนในพื้นที่ขนาดใหญ่พิเศษได้เช่น โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สนามกีฬา งานสำรวจเหมืองแร่ หรือเครื่องบินทั้งลำก็สามารถที่จะสแกนได้โดยที่ไม่มีปัญหา และด้วยการทำงานระดับมืออาชีพที่เร็วขึ้น 5เท่า, ระเอียดขึ้น 2เท่า, เชื่อมต่อเร็วขึ้น USB3.0, กล้อง 360 จำนวน 4ตัว – เร็วขึ้น 5 เท่า โดยใช้เวลาสแกนต่อจุดเฉลี่ย 20วินาที – ละเอียดขึ้น 2เท่า โดยเก็บจุดได้ 680,000จุด/วินาที – กล้อง HDR ละเอียดขึ้นมีทั้งหมด 4ตัว ทำให้การทำงานนนั้นอยู่ในระดับมืออาชีพเลยทีเดียว

สรุป

โดยสรุปแล้วการเปิดตัวของ Matterport Pro3 ที่ออกมานั้นอาจจะไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงกับ Leica BLK 360 มากนัก เพราะจริงอยู่ที่มีการสแกนพื้นที่โดยใช้ Point Cloud แต่ว่ากว่าจะได้ใช้ไฟล์ E57 ในการทำงาน Matterport Pro3 ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่งเช่นกัน แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง Matterport Pro3 ก็เป็นการปรับประสิทธิภาพการทำงานขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งทั้ง  ทำงานในที่แดดจัดได้ดีขึ้น ทำงานได้ไวขึ้น การเชื่อมต่อดีขึ้น นำหนักเบา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เทคโนโลยี Lidra สแกนที่เพิ่มเข้ามาทำให้ผู้ปฏิบัติงานนนั้นทำงานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นนั่นเอง